551 Viewsยุคที่ 3
การแพทย์ในยุคนี้เป็นยุคที่การบริหารประเทศดำเนินไปตามระบอบประชาธิปไตยในระยะ 10 ปีแรกของยุคนี้คือตั้งแต่ พ.ศ. 2475-2485 กรมสาธารณสุขยังคงสังกัดอยู่ในกระทรวงมหาดไทยและไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ที่เห็นได้ชัดนอกจากได้มีการขยายงานเทศบาลการจัดตั้งโรงพยาบาลในส่วนภูมิภาคและการขยายงานบริการสู่ชนบทเพิ่มขึ้นโดยสร้างสุขศาลาชั้น 2 หรือสถานีอนามัยชั้น 2 เพิ่มเติมจากโอสถสภาเดิมซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเรียกเป็น สุขศาลาชั้น ๑ และสุขศาลาชั้น ๒ สำหรับการจัดสร้างนั้น ได้ใช้เงินบริจาคในท้องถิ่นส่วนหนึ่ง และรัฐบาลออกสมทบให้อีกส่วนหนึ่ง
การสถาปนากระทรวงสาธารณสุข
ในพ.ศ. 2485 รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการแพทย์และการสาธารณสุขให้เป็นปึกแผ่นยิ่งขึ้นจึงได้รวบรวมสถาบันที่เกี่ยวข้องทางการแพทย์การสาธารณสุขเข้าไว้ด้วยกันและสถาปนากระทรวงการสาธารณสุขขึ้นเมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2485 โดยแบ่งองค์กรของกระทรวงฯ ดังต่อไปนี้
1. สำนักงานเลขานุการรัฐมนตรี
2. สำนักงานปลัดกระทรวง
3. กรมการแพทย์
4. กรมประชาสงเคราะห์
5. กรมมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์
6. กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
7. กรมสาธารณสุข
ต่อมาในปี พ.ศ. 2487 ได้มีการโอนกรมประชาสงเคราะห์จากกระทรวงสาธารณสุขไปอยู่ในกระทรวงมหาดไทยตามเดิมและในปี พ.ศ. 2495 มีประกาศใช้พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวงทบวงกรมเปลี่ยนชื่อกระทรวงการสาธารณสุขเป็นกระทรวงสาธารณสุขและเปลี่ยนชื่อกรมสาธารณสุขเป็นกรมอนามัยและใน พ.ศ. 2502 กรมมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์โอนไปสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี
ในปี พ.ศ. 2515 ได้มีการปรับปรุงส่วนราชการกระทรวงสาธารณสุขโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะรวมบริการรักษาและป้องกันโรคในส่วนภูมิภาคไว้ใต้องค์กรเดียวกันโดยในส่วนกลางได้มีการรวมกรมการแพทย์และกรมอนามัย เป็นกรมการแพทย์และอนามัยและในส่วนภูมิภาคซึ่งเดิมการบริหารงานโรงพยาบาลจังหวัดและที่ทำการอนามัยจังหวัดแยกออกจากกันก็ได้เข้ามารวมกันโดยมีนายแพทย์ใหญ่จังหวัดเป็นหัวหน้าผู้บริหารงานทั้งทางด้านการรักษา ป้องกันและส่งเสริมสุขภาพ
ใน พ.ศ. 2517 ได้มีการปรับปรุงรูปแบบการบริหารของกระทรวงสาธารณสุขทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคอีกครั้งหนึ่งและยังคงเป็นอยู่ถึงปัจจุบัน (พ.ศ. 2526) ดังต่อไปนี้
การบริหารงานสาธารณสุขส่วนกลาง
การบริหารงานสาธารณสุขกลางแบ่งออกได้เป็นสำนักงานเลขานุการรัฐมนตรีและส่วนราชการระดับกรม คือ
1. สำนักงานปลัดกระทรวง
2. กรมการแพทย์
3. กรมอนามัย
4. กรมควบคุมโรคติดต่อ
5. กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
6. สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
|
สำนักงานปลัดกระทรวง |
กรมการแพทย์ |
|
กรมอนามัย
|
กรมควบคุมโรคติดต่อ
|
|
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ |
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
|
การบริหารงานสาธารณสุขส่วนภูมิภาค
สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้ปรับปรุงการจัดรูปองค์กรและระบบการบริหารงานสาธารณสุขในส่วนภูมิภาคเพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาสาธารณสุขในส่วนภูมิภาคได้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นหน่วยงานสาธารณสุขส่วนภูมิภาคมีดังต่อไปนี้
๑. สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด
๒. สำนักงานส่งเสริมวิชาการและบริการ สาธารณสุข
๓. โรงพยาบาลศูนย์
๔. โรงพยาบาลทั่วไป ได้แก่ โรงพยาบาลขนาดกลาง (150-400 เตียง) ประจำจังหวัดและในบางอำเภอ
๕. โรงพยาบาลชุมชน ได้แก่ โรงพยาบาลอำเภอ
๖. สำนักงานสาธารณสุขอำเภอ
๗. สถานีอนามัย
๘. สำนักงานผดุงครรภ์
การดำเนินงานสาธารณสุขมูลฐานในประเทศไทย
การดำเนินงานสาธารณสุขในประเทศไทยเท่าที่ผ่านมาแม้ว่าจะสามารถลดอัตราป่วยและตายของประชากรต่ำลงกว่าที่เป็นมาในอดีตแต่การบริการสาธารณสุขยังไม่ครอบคลุมประชากรได้อย่างทั่วถึงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในชนบท ซึ่งมีประชากรอยู่ถึงร้อยละ 80 ของประเทศในปัจจุบันประชาชนในชนบทยังอยู่ในฐานะยากจนสภาวะทางโภชนาการ การสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อมและการอนามัยครอบครัวยังไม่ดีพออีกทั้งได้รับความรู้ในทางสุขศึกษาและบริการให้ภูมิคุ้มกันโรคยังไม่กว้างขวางทั่วทั้งประเทศ
จากการที่ที่ประชุมสมัชชาอนามัยโลกเมื่อ พ.ศ. 2518 ได้เสนอแนะว่าการแก้ไขปัญหาสุขภาพอนามัยของประชากรในโลกในระยะต่อไปควรจะใช้การดำเนินงานทางสาธารณสุขมูลฐานเป็นมาตรการสำคัญใน พ.ศ. 2520 สมัชชาอนามัยโลกจึงได้มีมติ ให้ตั้งเป้าหมายทางสังคมไว้ว่า "เมื่อถึงปี พ.ศ. 2543 ประชากรทุกคนในโลกจะมีสุขภาพอนามัยที่ดีทั่วถึงกันในระดับซึ่งสามารถดำเนินชีวิตอยู่ได้อย่างเป็นปกติสุข" ประเทศไทยในฐานะที่เป็นสมาชิกขององค์การอนามัยโลกก็ได้ใช้ความพยายามที่จะดำเนินการตามข้อเสนอแนะขององค์การอนามัยโลกดังกล่าวนอกจากนี้รัฐบาลของประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ขององค์การอนามัยโลกได้ใช้ความพยายามในอันที่จะยกระดับสุขภาพอนามัยของประชาชนในแต่ละชาติให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ทั้งนี้โดยอาศัยทรัพยากรที่มีอยู่แล้วอย่างจำกัดของแต่ละประเทศในการพัฒนาและในการแก้ปัญหาสุขภาพอนามัยของประชาชนตลอดจนระดมสรรพกำลังร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิกในภูมิภาคซึ่งมีปัญหาทางสาธารณสุขที่สำคัญคล้ายคลึงกันและได้มีการเสนอ "กฎบัตรเพื่อพัฒนาการทางสุขภาพ" อันเป็นหลักการและแนวทางสำหรับประเทศสมาชิกจะวางแผนและดำเนินการร่วมกันต่อไปซึ่งรัฐบาลไทยโดยนายกรัฐมนตรีก็ได้ลงนามในกฎบัตรดังกล่าวแล้วเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2523
ระบบการดำเนินงานสาธารณสุขมูลฐานซึ่งมีหลักการที่ให้มีการนำเอาทรัพยากรของท้องถิ่นมาใช้ประโยชน์และให้มีการร่วมมืออย่างใกล้ชิดโดยประชาชนนั้นเป็นสิ่งแทรกซึมอยู่ในสังคมไทยมานานแล้วเพราะคนไทยเราให้ความสำคัญในการช่วยเหลือซึ่งกันและกันแพทย์ประจำตำบลก็ดีหมอตำแยก็ดีเป็นเรื่องที่มีมาในอดีตก่อนที่จะมีการฝึกอบรมอาสาสมัครสาธารณสุขหรือผู้สื่อข่าวสารสาธารณสุขเพื่อปฏิบัติงานสาธารณสุขมูลฐานในแบบฉบับของการช่วยเหลือกันเองภายในหมู่บ้าน
การดำเนินงานในโครงการสาธารณสุขมูลฐานในประเทศไทยได้เน้นหนักในเรื่องการขยายบริการขั้นพื้นฐานให้ครอบคลุมประชากรในทุกท้องที่นับแต่การให้สุขศึกษาเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพอนามัยรวมทั้งวิธีการป้องกันและควบคุมปัญหาเหล่านั้นการส่งเสริมในเรื่องอาหารและโภชนาการการจัดหาน้ำดื่มน้ำใช้ที่ปลอดภัยการจัดให้มีการสุขาภิบาลเบื้องต้นการอนามัยแม่และเด็กการวางแผนครอบครัวการให้ภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกันโรคติดต่อที่สำคัญ การป้องกันและควบคุมโรคที่แพร่หลายอยู่ในท้องถิ่นการรักษาโรคและบาดแผลที่พบบ่อย ๆ ตลอดจนการจัดหายาที่จำเป็นเพื่อบำบัดรักษาโรคทั้งนี้โดยให้มีอาสาสมัครสาธารณสุขและผู้สื่อข่าวสารสาธารณสุขปฏิบัติงานในชุมชนอย่างใกล้ชิดและให้มีการผสมผสานระหว่างงานสาธารณสุขกับงานพัฒนาชนบทอื่น ๆ เป็นส่วนรวมควบคู่กันไปตลอดจนให้มีการใช้เทคโนโลยี ที่เหมาะสมในราคาประหยัดและเป็นที่ยอมรับของฝ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เป้าหมายระยะยาวกำหนดว่าจะให้มีอาสาสมัครสาธารณสุขที่ได้รับการอบรมแล้วหมู่บ้านละ 1 คน และมีผู้สื่อข่าวสารสาธารณสุขหมู่บ้านละ 10 คน ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนบริการสาธารณสุขมูลฐานและช่วยให้ประชาชนในตำบลหมู่บ้านได้รับการดูแลโดยทั่วถึง